spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
Chapter 81: พายุในเมืองแบล็คฮ็อต
ใต้หอคอยชั้นสูงสุดด้านนอกปราสาทนั้นมีห้องประชุมอยู่ที่ซึ่งเป็นที่ทำงานของพวกกรรมการ เพราะมีกองทัพอาศัยอยู่ในปราสาทแห่งนี้ทำให้ทุกวันนี้กองทัพจะใช้เหยี่ยวสื่อสารส่งข้อความมาที่ปราสาท ดังนั้นทุกสถานีในปราสาทจึงได้รับข่าวสารของเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองแบล็คอ็อต หลังจากที่ปราสาทนั้นเป็นฐานสำหรับพวกนักเรียนเอาไว้ใช้ฝึกเอาตัวรอดแล้วข้อความที่ส่งมานั้นก็เปลี่ยนมาส่งให้กับพวกกรรมการและนักเรียนที่ทำการฝึกฝนอยู่แทน
วันนี้หลังจากที่ได้อ่านข่าวที่เกิดขึ้นในเมืองแล้ว สีหน้าของครูต่างก็ซีดลงไป จากนั้นก็ได้มีการเรียกรวมครูทุกคนเพื่อเข้าประชุมและได้อ่านประกาศนี้ให้ทุกคนได้ฟัง
ก่อนที่จะฟังเนื้อหาของข่าวแล้ว คนในห้องประชุมนั้นต่างก็ดูผ่อนคลายแต่เมื่อได้ยินเนื้อหาของข่าวทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าไม่สู้ดีนัก ผลก็คือห้องประชุมนั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศอันตึงเครียดและไม่มีใครพูดอะไรออกมา ตอนนั้นแม้แต่เข็มตกก็คงได้ยินกันทุกคน
เมื่อวานซืนนั้น ที่นี่ได้มีฝนตกเป็นครั้งแรกในรอบเดือนมิถุนายน ในวันนั้นก็ได้มีเหตูการณ์ใหญ่เกิดขึ้นในเมืองแบล็คฮ็อต --- กองทัพได้สั่งให้ทหารออกประจำตามจุดในเมืองและทำการสอบสวนโดยใช้ข้ออ้างว่ากำลังหาอาชญากรแต่การสืบสวนนั้นก็มีกลุ่มการค้านิวเมียนมาคัดค้าน ก็อย่างที่คาดไว้พวกทหารของกลุ่มการค้านนิวเมียนก็พ่ายแพ้ให้กับพวกทหารอยู่แล้ว แต่เมื่อไปถึงฐานของพวกนั้นกลับไม่มีใครอยู่แต่กลับพบสิ่งที่น่าตกใจมากกว่านั้น จากหลักฐานที่ได้มานั้นพบว่าเป็นการกบฏครั้งใหญ่ กลุ่มการค้านี้ได้ร่วมมือกับโจรผ้าพันคอแดงเพื่อที่จะมองหาโอกาสสำหรับโจรที่จะฆ่าพวกสมาคมใหญ่ๆและเข้าควบคุมพวกสหพันธุ์เหล็ก,ถ่านและเหล็กกล้าในเมือง
เจ้าหน้าที่ของเมืองได้ส่งข่าวนี้ไปหาพันธมิตรอันดามันเมื่อคืนนี้ ซึ่งพวกนั้นเองก็ตกใจอย่างมาก ในเย็นวันเดียวกันหลังจากได้รับข่าว พันธมิตรก็ยืนกรานว่าต้องการคำอธิบายที่มีเหตุผล ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองแบล็คฮ็อตจากทูตของอาณาจักรนอแมนแต่อาณาจักรนอแมนนั้นเลือกที่จะเงียบจนกระทั่งถึงเช้าววันนี้ เมืองแบล็คฮ็อตเริ่มหยุดการทำงานของกลุ่มการค้าของอาณาจักรนอแมนเอาไว้ ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจของอาณาจักรนอแมนเองก็ได้ผลกระทบจากมัน
การมาของโจรผ้าพันคอแดงนั้นได้เพิ่มความตึงเครียดและทำให้กองทัพนั้นเริ่มประกาศการเตรียมการระดับ 1 ซึ่งคือการเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม...
ห้องประชุมในปราสาทหมาป่านั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศแปลๆ การกระทำของอาณาจักรนอแมนนั้นทำให้ทุกคนอึ้ง ในสายตาของเมืองแบล็คฮ็อตและพันธมิตรแล้วอาณาจักรนอแมนนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก มีความต่างระหว่างทหารของทั้งสองกลุ่ม เมืองแบล็คฮ็อตมีทหารประมาณ 50,000 ส่วนพันธมิตรนั้นมีทหาร 400,000 ส่วนทหารระดับธรรมดาที่เขตแดนอาณาจักรนอแนนกลับมีถึง 3 ล้านคน ถ้าทั้งสองกลุ่มเริ่มทำสงครามกันแล้วแค่ทหารที่ประจำอยู่ที่ชายแดนก็จัดการพวกพันธมิตรลงได้ กว่าหลายปีที่ผ่านมาเหตุผลหลักที่พันธมิตรยังคงสงบสุขได้แบบนี้ไม่ใช่เพราะพันธมิตรนั้นแข็งแกร่ง แต่เพราะการขัดแย้งกันของอาณาจักรนอแมนและราชวงศ์ดวงอาทิตย์ เหมือนกับว่าพันธมิตรนั้นคือตัวกลางระหว่างทั้งคู่จึงไม่ได้มีกลุ่มไหนเริ่มทำสงครามก่อน สถานการณ์นี้ไม่ได้เปลี่ยนไปมาหลายสิบปี เมืองแบล็คฮ็อตนั้นเป็นเมืองที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้และสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ตอนนี้ดูเหืมอนว่าสองกลุ่มนั่นจะเริ่มหมดความอดทนแล้ว
“ เราต้องบอกข่าวนี้ให้เด็กรู้ด้วยมั้ย ? “ – หนึ่งในครูที่นั่งอยู่ที่โต๊ะกลมซึ่งทำจากไม้สนถามออกมา
“ ฉันคิดว่ามันไม่จำเป็นที่ต้องบอกพวกเขา ยังไงพวกเขาก็ต้องรู้หลังจากฝึกเสร็จ ให้พวกนั้นมีความสุขกันสักหน่อยเถอะ... “ – เมื่อได้ยินคำนี้ทุกคนในห้องประชุมต่างก็มองไปที่ครูที่หน้าตาดูใจดี ครูที่เพิ่งพุดได้ยิ้มออกมา – “ ทุกคน ที่เมืองแบล็คฮ็อตกับพันธมิตรนั้นสงบสุขมาหลายสิบปีแล้วทำไมอาณาจักรนอแมนถึงได้มาเริ่มสงครามเอาตอนนี้ ? อย่างที่เรารู้กัน หลายอาทิตย์ก่อนนั้นราคาของใช้ต่างก็เพิ่มสูงขึ้นช้าๆ นั่นมันหมายความว่ายังไง ? ฉันคิดว่าเรารู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้ว เป็นธรรมดาที่เมืองแบล็คฮ็อตและพันธมิตรนั้นไม่มีค่าที่ประเทศในสมาคมแบล็คซอนจะเปิดสงครามด้วย “
เมื่อได้ยินคำนั้น กัปตันเคอร์ลิน ก็คิ้วขมวด แม้ว่า กัปตันเคอร์ลิน จะรู้ว่าคำพูดนั้นมีบางอย่างแปลกๆแต่เขาไม่ได้ฉลาดพอที่จะวิเคราะห์มันได้ เขาไม่เข้าใจความหมายแฝงของมัน – “ เจอโรม นายบอกว่า...สงครามครั้งใหญ่จะปะทุขึ้นสินะ... “
“ ฉันไม่ได้บอกแบบนั้น “ – หลังจากมองมารอบๆ เจอโรม ก็ถอนหายใจออกมา – “ เราน่ะเป็นแค่คนตัวเล็กๆที่ไม่สามารถตัดสินใจอะไรใหญ่ๆได้ มันก็แค่สงครามศักดิ์สิทธิ์ระหว่างมนุษย์และปิศาจได้ ดูเหมือนว่ามันจะผ่านมา 170 ปีแล้ว..”
สงครามศักดิ์สิทธิ์ !
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนต้องนิ่ง เมื่อได้ยินคำพูดนี้แม้แต่ กัปตันเคอร์ลิน ก็ยังหน้าซีด...
……
เช้านี้ จางเทีย ไม่ได้มีความสุขเลยสักนิด ไม่ใช่แค่เขาไม่มีความสุขแต่เขายังสิ้นหวังจะตายแล้ว ไม่มีใครจะดีใจได้ถ้าใช้เวลาทั้งเช้าขุดแร่งกว่า 300 กก.ก่อนจะใช้ตะกร้าแบกมันเดินทาง 1.5 กม.เพื่อเอาไปส่งอยู่หลายครั้ง จำนวนเหล็กที่ได้มาจากเหมืองนั้นมี 50-60 % มันถือว่าค่อนข้างหนักสำหรับ จางเทีย ที่ต้องแบกมัน เพราะมันมีแร่เหล็กกว่า 200 กก.ในแต่ละครั้งที่เขาต้องเอามันไปส่ง สำหรับเด็กที่เข้าร่วมการฝึกแล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่จะแบกของหนัก 200 ก.พร้อมกับเดินไปกว่า 1.5 กม. แค่ 100 กก.ยังยากเลย สำหรับพวกคนที่แบกของหนัก 50 กก.ได้แล้วเดินทางกลับมาก็ถือว่าดีมากแล้ว แม้ว่ามันจะไม่ได้ยากในการขุดแร่และได้แร่มาหลายตันต่อวัน แต่การทดสอบที่แท้จริงของการขุดแร่นี้คือการเอามันไปส่งต่างหาก
จางเทีย ทำงานมาตลอดในตอนเช้า แม้ว่าเขาจะเสร็จภารกิจวันนี้ไปแค่ 2 ใน 3 แต่แม้ว่าเขาจะเป็นนักสู้ระดับ 1 แต่เขารู้สึกหมดแรง ตัวของเขาเริ่มอ่อนแรงลง หลังจากส่งแร่หนักกว่า 70 กก.แล้ว จางเทีย ก็ได้อาหารมาสองห่อ เขานอนลงกับพื้นใต้เงาของต้นสน เขาไม่ได้คิดจะลุกขึ้นยืนอีกเลยด้วยซ้ำ
หลังจากผ่านเรื่องพวกนี้มา จางเทีย สาบานว่าเขาจะไปขุดแร่ทุกวันไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นแบบไหน เนื่องจากเขาต้องส่งแร่แค่จำนวนขั้นต่ำในแต่ละวัน เขาตระหนักได้ว่ามันทรมานแทบตายที่ต้องมาขุดแร่ของจำนวนสามวันโดยมาขุดแค่เพียงวันเดียว
มีรอยรถเลื่อนที่เหมือนเคยใช้งานแต่ดูเหมือนว่ามันพังไปแล้ว ผลก็คือคนขุดเหมืองต้องเดินประมาณ 0.5 กม.เข้าไปในอุโมงซึ่งทำให้มันขนส่งยากลงไปอีก
ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ ใครก็ตามที่อยากลองขุดแร่นั้นได้ติดสินใจที่จะเลิกหลังจากลองทำมันในตอนเช้าและมีหลายคนกลับมาลองมันอีกครั้งด้วย
จางเทีย ยืนพิงต้นไม้แล้วดื่มน้ำพร้อมกับกินข้าว เขาหลี่ตาลงและมองไปยังกระรอกสองตัวที่ไต่อยู่ตามต้นไม้ สำหรับวันที่ผ่านมากระรอกพวกนี้ดูเหมือนจะรู้ตัวกับการมาถึงของแขกไม่ได้รับเชิญที่มาขโมยโคนสนของมัน ดังนั้นทั้งสองตัวจึงรีบเอาโคนสนไปซ่อนไว้ที่โพรงของตัวเอง พวกนี้มันขยันกว่า จางเทีย ด้วยซ้ำ เมื่อเห็นกระรอกทั้งสองตัวนั้น จางเทีย ก็รู้สึกอายขึ้นมา เขานี่แหละเป็นแขกไม่ได้รับเชิญซึ่งมาขโมยโคนสนของมันไปแต่เขากลับไม่ได้ขยันเท่ากับกระรอกด้วยซ้ำ....
……
ในวันแรกหลังจากที่ฝนหยุด เด็กๆต่างก็กลับมาทำงานกันอีกครั้ง ดูเหมือนว่ามันจะยากที่จะฝึกการฝึกนี้อย่างมีความสุขได้ ที่ตำแหน่งห่างอออกไปจากเหมือง 10 กม.ที่ซึ่ง จางเทีย อยู่ จางเทีย ได้ยืนพิงกำแพงพร้อมกับกินข้าวไปด้วย เกรซ และลูกน้องนั้นกำลังทำบางอย่างที่ตัดกันกับคำว่ามีความสุขอยู่
ถ้ำภายในภูเขานั้นเต็มไปด้วยเลือด หลังจากที่ฆ่าหมาป่าตัวเมียที่ซึ่งคอยให้นมลูกอยู่โดยใช้ดาบแล้ว เกรซ ก็ได้จัดการลูกหมากว่า 20 ตัว ตอนที่หมาตัวสุดท้ายจะกัดส้นเท้าเขา เกรซ ก็ได้กระทืบที่หัวมันอย่างหงุดหงิดจนเละเป็นชิ้นๆ ในตอนนั้นเสียงหอนอันเศร้าสร้อยในถ้ำก็ได้เงียบลงไป
ทันทีที่เสียงหอนนั้นเงียบลง ชาร์ลอน และ ซูแฮร์ ก็ได้รีบเข้าไป พวกเขาคอยลบเลือดตามพื้น ทั้งคู่ก็เหมือนกับ เกรซ ที่ผิวตอนนี้กลายเป็นสีเขียวซีดซึ่งดูเหมือนว่าทาของเหลวแปลกๆไว้บนตัว
“ เร็วเข้า ไปกันเถอะ เราคงไม่มีเวลาเหลือถ้าหมาป่าตัวอื่นกลับมา “ - ชาร์ลอน เร่ง
“ เกรซ รองเท้านายมีเลือดหมาป่าชุ่มแน่ะ นายน่าจะทิ้งมันซะ ไม่งั้นแล้วมันจะมาตามล่านายแน่ เราควรใช้รากทาโร่มากำจัดกลิ่นจากตัว ด้วยวิธีนี้แล้วจะไม่มีใครรู้ว่าเราน่ะต้องเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้.. “ - เมื่อมองไปที่หัวของลูกหมาป่าที่โดน เกรซ กระทืบจนเละแล้ว ซูแฮร์ ก็ได้ร้องออกมาพร้อมกับมองไปยังกระเป๋าซึ่งมีผ้ากันน้ำห่อเอาไว้ เขาเปิดกระเป๋าขึ้นมาและหยิบผ้าเช็ดตัวออกมาโยนลงไปที่พื้น
หลังจากที่มองเลือดของลูกหมาป่าที่เปื้อนรองเท้าแล้ว เกรซ ได้สบถออกมาและรีบออกจากหลังหมาป่าพร้อมกับ ชาร์ลอน และ ซูแฮร์
“ พวกนายจัดการเสร็จรึยัง ? “ - ในตอนที่ออกมานั้น เกรซ ได้ถามกับ ซูแฮร์
“ เชื่อฉันได้ ฉันจัดการทิ้งของมันไว้แล้ว หมาป่าพวกนั้นต้องหา จางเทีย เจอตอนที่มันกลับไปฐาน ถ้าพวกมันตามกลิ่นจากผ้าเช็ดตัวของเขาไป หมาป่าน่ะเจ้าเล่ห์และเจ้าคิดเจ้าแค้น... “ - ซูแฮร์ แสยะยิ้มออกมา – “ ทหารระดับธรรรมดานั้นคงมาหาเรื่องเราไม่ได้ถ้าพวกนั้นโดนหมาป่าล้อม “
“ ฮาฮาฮา ! “ – เกรซ และลูกน้องหัวเราะออกมา
สองชั่วโมงต่อมาหมาป่าตัวผู้ทุกตัวที่ออกไปล่าก็ได้กลับมาที่รังของมัน ทันทีที่พวกมันเข้าไป พวกมันก็พากันหอนกันดังก้องไปทั่วทั้งหุบเขา...